หมอเตือน คนชอบสะสมขยะให้เร่งรักษา

         จากจากกรณี ที่เฟสบุ๊ก @Nawapol Pramulart โพสต์เล่าเรื่องราวของการมีข้างบ้านที่ชอบสะสมสิ่งของจนกลายเป็นขยะกองใหญ่โตหน้าบ้าน ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นได้รับความเดือดร้อน จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวดังกล่าวนั้น

         ทางแพทย์ โรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หลายคนอาจไม่อยากเชื่อว่าโรคแบบนี้ก็มีด้วยกับโรคของคนที่ชอบเก็บสะสมสิ่งของ ไม่ยอมทิ้งจนเต็มและรกบ้านไปหมด ฟังดูแล้วอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ควรจัดเป็นโรค แต่หารู้ไม่ว่าโรคดังกล่าวคืออาการทางจิตที่ควรได้รับการรักษา เราจะมาทำความเข้าใจร่วมกันถึงภาวะดังกล่าวที่เกิดขึ้นว่ามีลักษณะอย่างไร และควรป้องกันหรือรักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง

         โรคชอบเก็บสะสมสิ่งของหรือที่เรียกว่า Hoarding Disorder เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะรู้สึกอยากเก็บของทุกอย่างเอาไว้ ไม่สามารถตัดใจทิ้งสิ่งไหนลงได้เลย โดยแรงจูงใจที่ทำให้อยากเก็บของนั้นไว้คือคิดว่าของเหล่านั้นยังมีประโยชน์ที่สามารถเก็บไว้ใช้งานในอนาคตได้ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีปัญหาในเรื่องของการแยกกลุ่งสิ่งของออกจากกัน บางสิ่งเก็บมาปนกันไม่มีหมวดหมู่ จนรกบ้านหรือกินพื้นที่ใช้สอยในบ้านไปหมด ไม่มีที่นั่ง ที่เดิน ที่นอน หรือไม่มีเหลือพื้นที่ไว้ใช้สอยอื่นๆ เลยเพราะมีของอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด จนกระทั่งรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของตนเองและคนในครอบครัว บางครั้งส่งกลิ่นเหม็นที่ทำให้เกิดปัญหาไปยังบ้านข้างๆ อีกด้วย

         สาเหตุของโรคปัจจุบันมีงานวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้น้อยมาก แต่พบปัจจัยที่ทำให้เกิดบางประการ ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม เนื่องจากร้อยละ 50 ของคนที่เป็นโรคพบว่าคนในครอบครัวก็เป็นโรคนี้ด้วย และอีกหนึ่งปัจจัยคือความบกพร่องทางสมองบางส่วน โดยตอนนี้ยังอยู่ในขั้นของการทำวิจัย สำหรับสิ่งของที่ผู้ป่วยเลือกเก็บ ก็จะเป็นสิ่งของทั่วไปไม่ได้มีค่าหรือมีราคาอะไร เช่น หนังสือ นิตยสาร เสื้อผ้า ขวดพลาสติก ขวดน้ำ ถุงพลาสติก เป็นต้น

         โดยทั่วไปผู้ที่เป็นโรคนี้จะเริ่มมีอาการมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แต่อาการจะแสดงชัดเจนเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะในช่วงวัย 30 ปี ข้าวของเครื่องใช้จะเยอะขึ้น และเริ่มแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่ยอมทิ้งอะไรเลย โดยจะเก็บเอาไว้จนรกบ้าน ตรงข้ามกับคนทั่วไปที่ส่วนใหญ่ในวัยนี้จะเริ่มแยกแยะของเพื่อทิ้งและเพื่อเก็บ แต่ผู้ที่ป่วยจะตัดใจทิ้งสิ่งของได้ยาก เพราะคิดว่าของเหล่านั้นยังมีประโยชน์ต่อตนเองอยู่

ผลกระทบของโรคนี้คือ ส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง เพราะการเก็บหมักหมมสิ่งของเอาไว้ อาจก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคได้ ต่อมาก็ยังส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้านได้ง่ายอีกด้วย อาจเกิดร่วมกับอาการทางจิตอื่นๆ ได้แก่ โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ โรควิตกกังวล หรือโรคกลัวการเข้าสังคม เป็นต้น[ads]

         สามารถรักษาได้ด้วยยา ที่จะช่วยปรับสารเคมีในสมองเกี่ยวกับวิธีคิด และสามารถรักษาได้ด้วยการบำบัด พฤติกรรมและความคิด เนื่องจากผู้ป่วยจะมีปัญหาในเรื่องของการแยกประเภท ก็ต้องปรับความคิดใหม่เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ป่วย อาจเป็นการให้เหตุผลและอื่นๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยยอมตัดใจทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็น เริ่มจากให้ผู้ป่วยลำดับความสำคัญของสิ่งของเพื่อแยกประเภทออกจากกัน อันไหนทิ้งอันไหนควรเก็บต่อไป ที่สำคัญคนรอบข้างต้องใช้ความเข้าใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ป่วยมีความผิดปกติทางความคิด การทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นแล้วเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับคนทั่วไป แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้ป่วยที่คนรอบข้างควรทำความเข้าใจและคอยให้กำลังใจหรืออธิบายด้วยเหตุผล

         ฟังดูแล้วอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ควรจัดเป็นโรค แต่หารู้ไม่ว่าโรคดังกล่าวคืออาการทางจิตที่ควรได้รับการรักษา ฉะนั้นข้อความขางต้นนั้น หวังว่าจะเป็นความรู้แก่หลายท่าน ใครที่กำลังเป็นอยู่ หรือ คนรอบข้างเป็นอยู่ ก็รีบๆรักษากันนะคะ

ขอขอบคุณที่มาจาก: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล