บิ๊กตู่ ประกาศกลางนิวยอร์ก อีก 17 ปีไทยจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูง 

        พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศกลางที่ ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 21 – 27 กันยายน ว่า  

       รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มากล่าวปาฐกถา ณ Asia Society ถือเป็นปาฐกถาครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของนายกรัฐมนตรีไทย ขอบคุณ Asia Society ที่ได้ดำเนินบทบาทอย่างแข็งขัน ในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความร่วมมือระหว่างเอเชียกับสหรัฐฯ เป็นเวลากว่า 60 ปี

     ซึ่งไทยภูมิใจที่เป็นประเทศแรกในเอเชียที่เป็นมิตร และภาคีสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ซึ่งความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ นี้ยังได้สร้างเสถียรภาพและความเจริญสู่ภูมิภาค ประเทศไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของบริบทโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของสังคมและสวัสดิภาพความกินดีอยู่ดีของประชาชน

     อาทิ ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความท้าทายต่างๆเหล่านี้ ไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีเสถียรภาพ สันติภาพ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสังคมอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นภูมิภาคที่เชื่อมต่อและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ หรือที่ฝ่ายสหรัฐฯ ในปัจจุบันรวมเรียกว่า อินโด-แปซิฟิก

     ถือว่าเป็น ภูมิภาคแห่งโอกาส เนื่องจากมีประชากรรวมกันแล้วเกือบ 3 พันล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และเป็นศูนย์อุตสาหกรรมการผลิตหลากหลายสาขาที่สำคัญ ประเทศไทยจึงดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้าง ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศนอกภูมิภาคที่ร่วมความคิด (like-minded) และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวไทยเองเพื่อสามารถแสดงบทบาทนำดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น

      นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงพัฒนาการในประเทศไทย ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้วางรากฐานด้านต่างๆ และยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปากท้องและการเอารัดเอาเปรียบในสังคม ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลปรับปรุงกฎระเบียบ และวิธีทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ นักธุรกิจและนักลงทุนเพิ่มขึ้น ด้านสังคม รัฐบาลประกาศให้การต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และได้กำกับดูแลการจัดการปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย

      “ด้านการเมือง ปฏิบัติตามโรดแม็ป อย่างครบถ้วน ต่อจากนี้ ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายคือ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูง ภายในปี 2579 มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน มีพัฒนาการทางสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมในสิทธิพื้นฐาน เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ตลอดจน เพิ่มพูนบทบาทเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนกับนานาประเทศ โดยมีอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นจุดตั้งต้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ ไม่เพียงเน้นการมองไปสู่อนาคต และเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อเป็นหลักให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือ และเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกับประเทศนอกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศคู่เจรจาต่างๆ ของอาเซียน ภายใต้แนวคิดหลักคือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) โดยการดำเนินการดังกล่าวต้องครอบคลุมในทุกมิติหรือ Sustainability of Things (SoTs)

     “อย่างไรก็ดี ไทยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญตามวิสัยทัศน์อาเซียน เพราะเชื่อว่าเมื่อประเทศต่างๆ มีระดับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดความเข้าใจกันและร่วมมือกันใกล้ชิดขึ้น นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นว่าในช่วงเวลาการเป็นประธานอาเซียนที่เหลือของไทย จะเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน กับประเทศทั้งภายในและภายนอกอาเซียน

     และในปี 2565 ไทยจะรับหน้าที่ประธานการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคไทยยินดีเปิดรับความเห็นและข้อแนะนำจากมิตรประเทศเพื่อให้วาระประธานเอเปคของไทยเกิดประโยชน์ต่อประเทศสมาชิก และประชาคมระหว่างประเทศในวงกว้าง และหวังว่าการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความเข้าใจต่อพัฒนาการและบทบาทระหว่างประเทศของประเทศไทย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นหุ้นส่วนใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

คลิกที่นี้เพื่อชมคลิป

     ได้ยินคำกล่าวนี้จากผู้นำประเทศแล้วก็ต้องบอกเลยว่า คนไทยเตรียมตัวยิ้มได้เลย จากนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 17 ปี ซึ่งนอกจากการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้จะทำให้คนไทยได้ รู้แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยแล้ว ก็ยังทำให้มั่นใจได้เพราะนายกพูด ในการประชุมระดับโลกเลย

ขอขอบคุณที่มาจาก : NewsNBT THAILAND