ธ.ก.ส. คาดสินค้าเกษตร เดือนพฤศจิกายนปรับตัวสูงขึ้น

               นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก คาดว่าราคาขายอยู่ที่ 12.44-12.57 เซนต์ต่อปอนด์ (8.32-8.41 บาทต่อกิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.00-2.00 เนื่องจากการเข้าซื้อน้ำตาลทรายคืนจากตลาดของกลุ่มกองทุน (short-covering) แรงหนุนจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนที่กำลังอนุญาตให้บริษัทเอกชนนำเข้าน้ำตาลที่มีอัตราภาษีต่ำ จัดสรรโควตาให้กับบริษัทของรัฐบาลถึง 70%

               ส่วนมันสำปะหลัง ราคาขายอยู่ที่ 1.71 -1.79 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.18 – 5.92% เพราะรัฐบาลมีมาตรการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง พร้อมเร่งรัดการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศจีน อินเดีย ตุรกี และนิวซีแลนด์ เป็นต้น มาตรการชะลอการขุดกรณีผลผลิตออกเป็นจำนวนมาก และชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกร มาตรการควบคุมการขนย้ายและคุมเข้มการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ราคามันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ราคาขายอยู่ที่ 2.91-3.01 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.75 – 5.24% เพราะภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมให้รถยนต์ใช้น้ำมันดีเซล B10 และ B20 สร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้บริโภค ด้วยการลดราคาน้ำมัน B10 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล B7 และได้มีการขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้เพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ในสถานีบริการ ช่วยปรับสมดุลปาล์มน้ำมัน และดูดซับน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมากขึ้น

               สำหรับสุกร ราคาขายอยู่ที่ 61.25 – 62.50 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.40 – 2.40% เพราะเป็นช่วงเปิดภาคเรียน แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงยังกังวลเรื่องการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งระบายผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก

               ส่วนกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม ราคาขายอยู่ที่ 124.50 – 126.00 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.40 – 3.30% เพราะอากาศเริ่มเย็นลงกุ้งโตช้า และเกษตรกรมีการปรับตัวในการเลี้ยงกุ้ง โดยลดปริมาณการปล่อยลูกกุ้งและทยอยจับสลับกับการลงกุ้งก้ามกราม แต่ยังคงมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำจากสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีน และค่าเงินบาทที่แข็งกว่าประเทศคู่แข่งขัน

               ส่วนสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% คาดว่าราคาขาย อยู่ที่ 7,868-7,920 บาทต่อตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.10-0.76% เเพราะค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย ปรับลดการนำเข้าข้าวจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาขายอยู่ที่ 16,087-16,172 บาทต่อตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.77-1.29% เนื่องจากผลผลิตข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยข้าวหอมมะลิ 105 เริ่มทยอยเก็บเกี่ยวในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาขายอยู่ที่ 14,050-14,158 บาทต่อตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.58-1.34% เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาขายอยู่ที่ 7.32-7.36 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงจากเดือนก่อน 1.50-2.00% เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดมากในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก ทำให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีความชื้นสูง ผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์จึงไม่นิยมซื้อเก็บสต็อกไว้ ส่งผลให้ความต้องการใช้ภายในประเทศทรงตัว และยางพาราแผ่นดิบ ราคาขายอยู่ที่ 35.08-35.37 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงจากเดือนก่อน 0.25-1.06% เนื่องจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และความต้องการจากประเทศจีนลดลง เนื่องจาก บริษัท ฉงชิ่ง จำกัด รัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้รับซื้อยางพารารายใหญ่ของประเทศจีน ปิดกิจการ ประกอบกับบริษัทต่างประเทศเริ่มมีการเคลื่อนไหว หยุดใช้ยางพาราและไม้ยางพาราที่ไม่ผ่านมาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

             สำหรับผู้ที่ทำการเกษตรในด้านของมันสำปะหลัง และปาล์ม ก็เตรียมรับทรัพย์ราคาขึ้น แต่ทางด้านข้าวและยางพาราก็ยังราคาลดลง เพราะปรับลดการนำเข้าข้าวจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อย่างไรแล้วก็ต้องสู้ๆนะคะ สำหรับชาวไร่ ชาวนา และผู้ทำการเกษตร

ขอขอบคุณที่มาจาก: การเงินการธนาคาร