ชีวิตพัง หยุดทำร้ายลูกของคุณ ด้วยการไปดูหมอ

        ประสบการณ์ชีวิตที่สอดคล้องกับปัจจุบัน โดยสมาชิกพันทิปท่านหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ว่า อยากให้อ่านให้จบเป็นอุทธาหรณ์ เพราะหมอดูคนนี้ก็เกือบฆ่าพ่อเราตายเช่นกัน ตั้งแต่เด็กแม่เราเป็นคนที่เชื่อหมอดูมาก พอเราอายุได้เก้าขวบก็มีหมอดูคนนึงก้าวเข้ามาในชีวิตของเรา ด้วยความที่พ่อกับแม่นิสัยเข้ากันไม่ได้แต่ทนๆ อยู่ไปด้วยกัน (เข้าใจว่าสมัยนั้นการหย่าเป็นเรื่องใหญ่) และแม่เราเป็นแม่บ้าน แม่เราเลยติดหมอดูคนนี้มากจนถึงกับเป็นเพื่อนสนิทกับหมอดู

        เราแทบไม่เคยมีเวลาได้อยู่กับแม่เราแบบเดี่ยวๆ เลย แม่เรามีเวลา มีทรัพยากร มีใจเท่าไหร่ก็ทุ่มให้กับหมอดูคนนี้ทั้งหมด เขาคบกันตั้งแต่เราอายุ 9-17 ปี เป็นเวลา 8 ปีที่เรารู้สึกเหมือนกับเราไม่มีตัวตนในสายตาแม่เลยในชีวิต เป็นเพียงตัวถ่วง เป็นภาระที่เขาต้องดูแลแทนที่เขาจะได้มีความสุขกับเพื่อนของเขา อีกทั้งเวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน เขาชอบหาคำพูดมาล้อเลียนเรา เช่น แย้ (เพราะเราเป็นเด็ก ติดสอยห้อยตามเขาไปทั่ว ทำให้เขารู้สึกพะรุงพะรัง) เราไม่ชอบเลยเวลาที่แม่และผองเพื่อนสมาคมแม่บ้านในสำนักหมอดูของเขาเรียกเรากับน้องแบบนี้แล้วนั่งหัวเราะกัน ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นตัวตลก

 หมอดูคนนี้ทำนายว่า

         เราชงญาติ ห้ามเรียกใครเป็นญาติทั้งนั้นในชีวิต เช่น ห้ามเรียกป้าร้านข้าวแกงว่า"ป้า" แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ห้ามเรียกพ่อว่า"พ่อ" ห้ามเรียกแม่ว่า"แม่"บังคับให้เรียกว่าคุณ เวลาที่เราเรียกพ่อหรือเรียกแม่ด้วยความชินเพราะเรียกมาตั้งแต่เด็ก ไม่แม่ก็เพื่อนหมอดูของแม่ก็จะบอกว่าเราเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่บ้านเราจน (ซึ่งจริงๆ แล้วที่บ้านเป็นชนขั้นกลางที่มีฐานะ Upper Middle Class ด้วยซ้ำ) "หนูไม่อยากให้ป๊ากับแม่รวยหรือ ทำไมไม่เรียกพ่อว่าคุณ X เรียกแม่ว่าคุณ Y อย่างที่สอน"

        วันดีคืนดีแม่เราโมโหเรา (ด้วยความเป็นเด็กที่ซนและมีวีรกรรมเยอะเป็นธรรมดา จะเอาอะไรมากกับเด็กเก้าขวบสิบขวบ) ก็จะว่าขึ้นมาดังๆ ว่า "เธอมันชงญาติ ชงญาติน่ะมีสองแบบรู้ไหม ล้างผลาญญาติหรือญาติล้างผลาญ เธอน่ะเป็นแบบไหน" ซึ่งเป็นคำพูดที่เราลืมไม่ลง และยังคงหลอกหลอนเราถึงทุกวันนี้

        ส่วนน้องของเราชงคู่กับชงพ่อ ก็ห้ามเรียกพ่อว่า"พ่อ" ทุกครั้งที่น้องจะไปนอนห้องพ่อแม่ก็จะสั่งห้าม บอกว่าจะทำให้น้องป่วย 

        ทุกคนในบ้านจะมีวันชง ซึ่งเป็นวันๆ หนึ่งในสัปดาห์และจะตามมาด้วยข้อปฏิบัติที่เยอะมาก อย่างเราชงวันพฤหัส นั่นหมายความว่าเราห้ามมีสีเหลือง แสด ส้ม ทองในของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าทั้งหมด ห้ามไหว้พระปางสมาธิ วันพฤหัสห้ามซื้อของเข้าบ้าน เปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ ถ้ามีธุระสำคัญที่ต้องทำในวันพฤหัส เช่น สอบปลายภาค ต้องเอาน้ำร้อนราดตัวก่อน 19 ที นอกจากนี้ยังมีเซตของอาชีพที่ทำได้/ไม่ได้อีกด้วย (เยอะมากจำไม่ได้)

        อย่างพ่อกับแม่เราชงวันอังคาร น้องเราชงวันพุธ ปวดหัวมาก เพราะการจะออกไปทำกิจกรรมครอบครัว หรือจะตัดสินใจใดๆ ต้องมานั่งคำนึงถึงวันชงของทุกๆ คน ที่สำคัญคือเรารู้สึกอายเวลาที่เราไปซื้อเสื้อผ้า มองไปก็เห็นคนขายหน้าเจื่อนๆ เพราะแม่เราจะเจ้ากี้เจ้าการมากว่าสีนั้นไม่ได้ สีนี้ไม่ได้ 

        ยิ่งไปกว่านั้น เราถูกโฉลกกับสีชมพูและเราเองก็ชอบสีชมพูเพราะเป็นเด็กผู้หญิง พอเลือกของอะไรก็ตามสีชมพูแม่ก็จะว่าว่าลูกไม่แคร์แม่บ้าง ก็รู้ว่าแม่กับป๊าชงสีชมพูก็ยังจะซื้อของสีชมพูมาอีก

        หมอดูคนนี้ (และผองเพื่อนสมาคมแม่บ้านของเขา) ชอบว่าเราอีโก้สูง (ใช่ค่ะ เราได้ยินคำนี้ครั้งแรกตั้งแต่อายุเก้าขวบ) เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าพูดคำทำนายนี้ออกมาตอนที่มีวิญญาณมาผ่านร่าง (เขาเป็นร่างทรงด้วย) แล้วแม่เราก็เชื่อหัวปักหัวปำ เอาคำพูดของหมอดูคนนั้นมาพูดกับเราตลอด เกือบทุกเย็นหลังเลิกเรียนเวลากลับบ้าน บทสนทนาจะเป็นประมาณนี้ "วันนี้มีองค์นั้นมาผ่านร่าง เขาบอกว่าหนูเป็นคนที่…เพราะชาติที่แล้วหนู…."  วันดีคืนดีหลังเลิกเรียนตอนพระอาทิตย์ตกต้องไปให้ร่างทรงผูกข้อมือด้วย[ads]             

        แม่เราพื้นเพเป็นคนตจว.มาจาก lower middle class  ถึงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว แต่ก็ยังชอบคบค้าสมาคมกับชาว lower middle class ด้วยความเคยชิน ซึ่งคนเหล่านี้มักปากกัดตีนถีบ มีดราม่า ความเครียด ความกดดันทาง เศรษฐกิจ และความเชื่องมงายต่างๆ ในชีวิตค่อนข้างเยอะ ซึ่งการเป็น upper middle class แต่ไปสมาคมกับ lower middle class มันก็จะมีแต่คนที่ยุแยงให้ครอบครัวเราแตกแยก คอยจับผิดด้วยความอิจฉาริษยาไง เพราะเราฐานะดีกว่าเขา 

           พ่อเรามีหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จ  และน้องเรากับเราเองค่อนข้างเรียบร้อย ไม่เที่ยว อ่านหนังสือ วาดรูป  ถึงกระนั้นแม่เราก็ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขามี คอยหาเรื่องว่าเรา จับผิดเรา เพียงเพราะฟังคนอื่นมากเกินไป (และพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง เช่น ขอให้ปิดวิทยุการเมืองเพราะฟังแล้วเครียด มันหลอนเข้าไปในหู ทีวีเสียงดังจนอ่านหนังสือสอบไม่รู้เรื่องก็บอกว่าเราเห็นแก่ตัว พอเหวี่ยงพอวีนก็หาว่าเอาแต่ใจ พูดดีๆ ไม่เป็นหรอ เอ้า! พูดดีๆ กี่ครั้งแล้วล่ะ แถมวันดีคืนดีก็ชอบไปรับปากเพื่อนว่าเราจะเขียนเอสเสภาษาอังกฤษให้ลูกเขา แปลนู่นแปลนี่งี้)

          นิสัยส่วนตัวเราเป็นคนพูดตรง อ่านสีหน้าคนไม่ค่อยเก่ง และนิสัยเหมือนฝรั่งมากกว่าเพราะว่าเราโตมากับการอยู่คนเดียวในห้อง พ่อแม่ไม่ค่อยว่าง แถมเวลาที่อยากให้แม่อยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวผีแม่ก็มักจะชอบว่าว่าเรา "ชอบยืมจมูกคนอื่นหายใจ" เลยตั้งใจตั้งแต่เด็กว่าจะต้องอยู่คนเดียวให้ได้  

         (ก็เป็นปัญหาในโรงเรียนกับมหา'ลัยอีก เพราะคนอื่นจะมองว่าผิดปกติที่เราชอบไปไหนมาไหนคนเดียวทั้งๆ ที่ก็เข้าสังคมเป็น เราเป็น high achiever และกล้าแสดงออกด้วยเลยโดนแบนโดนบูลลี่อีก ซึ่งพอคุยกับพวกเขาจริงๆ คือ เขาอยากให้เราเจ๊าะแจ๊ะกับเขาบ้าง คุยเรื่องไร้สาระบ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้เลย คือ "พ่อกูป่วย จะเอาเงินเอาเวลาที่ไหนไปล่ะ" เมื่อก่อนนี้เราเคยรู้สึกผิดกับการมีความสุขด้วยซ้ำ เพราะคนในครอบครัวเรายังไม่มีความสุข)

          กลับเข้าเรื่อง หมอดูคนนี้ก็เช่นกัน เขาเลิกกับสามี มีลูกติดหนึ่งคน และลูกเขาเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จดั่งใจเขา ดังนั้นเวลาที่เขาเห็นครอบครัวเราสมบูรณ์ มีพ่อ มีแม่ มีลูก เขาก็จะยุแยงให้ครอบครัวเหล่านั้นต้องเลิกรากัน ซึ่งทุกคนในสมาคมแม่บ้านอกหักจากชีวิตครอบครัวหมดและมีที่พึ่งทางใจเป็นหมอดูคนนี้ ตอนนั้นพ่อเรามีกิ๊กแล้วแม่เราจับได้ก็ไปเล่าให้หมอดูฟัง ทำให้เราโดนหมอดูคนนั้นต่อว่าว่า "ทำไมไม่รู้จักช่วยแม่ ทำไมไม่ยืนข้างแม่ ตอนแม่ทะเลาะกับพ่อ เดินเข้าห้องน้ำไปทำไม" แต่เราแค่แบบอายุ 11-12 อ่ะ 

          กี่ครั้งกี่หนแล้วที่แม่เราไม่เคยลุกขึ้นเพื่อปกป้องเราเลย ไม่ยืนข้างในสิ่งที่ถูก เป็น people pleaser ที่กลัวแต่คนอื่นจะตัดสินตัวเอง และกดดันให้ลูกเป็น people pleaser เหมือนตัวเอง ถึงจะเข้าใจว่าแม่มีชีวิตในวัยเด็กลำบากมาก เป็นซินเดอเรลล่าตัวจริงที่อาศัยบ้านญาติ บ้านคนรู้จักอยู่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลี้ยงตัวเองในกรุงเทพฯ ได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทดแทนบาดแผลของการไม่มีแม่ของเราได้ บางทีเรารู้สึกด้วยซ้ำว่าแม่เราไม่มีตัวตนอยู่จริง 

         สุดท้ายนี้ขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้แก่ทุกคนเป็นอุทธาหรณ์ในการเลี้ยงลูก อย่าได้คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการหมอดู ถ้าชีวิตคุณไม่ดีไปหา life coach หรือ นักจิตวิทยาเสียยังจะดีกว่า ลองซื้อหนังสือมาอ่านหรือจะฟังพอดแคสต์ ฟังยูทูปก็ได้ หมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเอง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดีและนอนให้เต็มอิ่ม อย่าไปล่วงรู้อดีตหรืออนาคตแล้วมาทำให้ปัจจุบันเสีย  และธุรกิจหมอดูควรได้รับการควบคุมจากภาครัฐ เพราะเป็นธุรกิจมืดที่ทำเงินมากและส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว 

           ปล. ทุกวันนี้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นมาก แต่งงานแล้วและกำลังจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร เราก้าวข้ามเรื่องร้ายๆ มามากจนรู้สึกเติมเต็มในหลายๆ ด้านในชีวิต ที่มาเล่านี้ไม่ใช่เพราะว่าเราเนรคุณต่อครอบครัวของเรานะคะ ไม่อยากให้คิดแบบนั้นเลย เพราะว่าเขาเองก็มีสิ่งที่พิเศษกว่าครอบครัวอื่นๆ เช่น มีเงินก้อนให้ไปตั้งชีวิตหลังเรียนจบ และค่อนข้างตามใจเมื่อเทียบกับครอบครัวไทยทั่วๆ ไป

          (เราถูกวินิจฉัยว่าเป็น complex PTSD และมีอาการ panic attack ทุกครั้งที่อยู่ใกล้คนในครอบครัว ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องร้ายๆ มาเล่าให้ฟังอีกหรือเปล่าหรือจะจู้จี้จุกจิกไม่ทรีทเราเป็นผู้ใหญ่สักที เช่น มาพูดเกลี้ยกล่อมให้เราตัดผม ทั้งๆ ที่เรา 25 แล้ว ตลอดชีวิตแม่เราเห็นเราผมยาวไม่ได้เลย จะต้องพาไปทำอะไรสักอย่างที่ร้านเพื่อแสดงความห่วงใย แถมจะทำสีก็ไม่ได้ พอบอกว่าไม่เห็นด้วยก็งอน หาว่าไม่รักเขา) จริงๆ แล้วเขาก็รักลูกในแบบของเขานั่นแหละ จะมีก็แต่ปัญหาของพ่อแม่ที่มาลงที่ลูกจนกลายเป็นความเครียดสะสม ซึ่งถึงจะโตแล้วแต่เราก็ไม่สามารถลืมและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่เสียที ยิ่งช่วงกักตัวด้วยยิ่งไม่ไหวสุดๆ

         กระทู้นี้เป็นตัวอย่างสำหรับคนที่ชอบพูดว่า "ความเชื่อไม่เคยทำร้ายใคร" ความเชื่อมันทำร้ายเพียงแต่คนพูดไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของมันเลยคิดว่าไม่เป็นไร   อย่างไรแล้วอย่างงมงายมากเกินไป ไปดูแล้วอย่าเก็บมาคิดมาก แต่จลทำตัวเองให้ดีก็พอ ใครที่อยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ก็อ่านได้ตามที่มาด้านล้างนี่เลยนะคะ

ขอขอบคุณที่มาจาก: สมาชิกหมายเลข 1386402