เซเว่น เผย เทคนิคนำของมาขายในร้าน ใครอยากขายไม่ยาก

         เชื่อว่าหลายๆคนคงมีความสงสัยว่า สินค้าที่วางขายใน เซเว่นอีเลฟเว่นนั้น ผู้ประกอบการสามารถนำไปวางขายได้อย่างไร โดยล่าสุดคุณ บัญญัติ  คำนูณวัฒน์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าร้านสะดวกซื้ออย่าง “เซเว่นอีเลฟเว่น” ได้นำเข้าขายสินค้าจาก SMEs จำนวนไม่น้อย แต่คนมักเข้าใจผิดเพราะจะเห็นว่าสินค้าเหล่านั้นได้ติดโลโก้ของเซเว่นฯบนบรรจุภัณฑ์ จึงอาจมองว่าเป็นสินค้าของเซเว่นฯที่ผลิตและขายเอง ในขณะที่สินค้าเครือซีพีที่วางขายในเซเว่นฯมีไม่ถึง 10% ทั้งนี้เซเว่นฯ จึงจำแนกสินค้าของ SMEs ที่ติดโลโก้เซเว่นฯออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ 

     Seven Select หมายถึงร้านเซเว่นฯได้คัดสรรสินค้ามาให้ผู้บริโภคแล้ว  ซึ่งเป็นสินค้าที่เซเว่นฯ ไม่ได้ผลิตเองแต่เป็นสินค้าของ SMEs

     Seven Fresh เป็นสินค้าที่เซเว่นฯต้องการนำเสนอถึงความสดใหม่ เช่น เบเกอรี ขนมปัง ผลไม้ ฯลฯ ซึ่งจริงอยู่ที่สินค้าประเภทนี้ส่วนหนึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มซีพีออลล์เอง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นของบริษัทอื่นๆทั้งที่เป็น SMEs และผู้ค้ารายใหญ่

     Only at Seven คือสินค้าของ SMEs ทั้งรายเล็กรายกลาง ที่เซเว่นฯได้ร่วมคิดค้น พัฒนาสินค้าชิ้นนั้นขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เซเว่นฯต้องขอสงวนสิทธิ์ขายสินค้าชิ้นนั้นๆเฉพาะในเซเว่นฯเท่านั้น เซเว่นฯถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีศักยภาพเพราะมีสาขาถึง 10,000 แห่งในประเทศไทย กับจำนวนสินค้าทั้งหมดกว่า 20,000 รายการ ซึ่งหาก SMEs นำสินค้าเข้ามาวางขายก็จะเป็นการทำธุรกิจที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย ทั้ง SMEs ก็จะมีตลาดกระจายสินค้าได้มากขึ้น ส่วนเซเว่นฯเองก็จะมีสินค้าที่ Differentiate เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดแข่งขัน การคัดเลือกสินค้า เซเว่นได้แบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ

       มีทีม merchandise ออกไปค้นหาสินค้าน่าสนใจและตรงตามความต้องการของลูกค้าเพื่อนำเข้ามาขายในร้าน ด้านเจ้าของสินค้า ได้ติดต่อเข้ามาในบริษัทเพื่อขอนำเสนอสินค้า เนื่องจากเซเว่นฯเป็นร้าน "อิ่มสะดวก" ที่มีสินค้าหลักในร้านเป็นอาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้นหน้าที่ของเซเว่นฯ จึงต้องออกไปเสาะแสวงหาอาหารและเครื่องดื่มที่ “แปลกใหม่” มีคุณภาพดีและปลอดภัยมาสนองความต้องการให้ลูกค้า และขณะนี้เซเว่นฯกำลังมองหาสินค้าที่เป็น "ของดีประจำท้องถิ่นหรือจังหวัด" มาขายในร้านเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้บริโภค

     สำหรับสินค้า SMEs ที่ขายผ่านเซเว่นฯอยู่ 2 ลักษณะคือสินค้าทดลองตลาดซึ่งจะขายอยู่ในแคตตาล็อก 24 shopping ซึ่งมี SMEs เข้าร่วม 1,800 ราย และอีกส่วนคือสินค้าที่ขายดีมากแล้วก็จะถูกนำไปวางบนเชลล์ในร้าน มี SMEs ร่วมอยู่ 200 ราย กับสินค้าที่วางขายในร้านกว่า 1,000 รายการ

     โดยผู้ประกอบการที่ต้องการนำสินค้ามาแนะนำเพื่อวางขายในร้านต้องมีคุณสมบัติดังนี้ “SMEs ต้องมั่นใจว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารก็ต้องมีความอร่อยและโดดเด่น มีความปลอดภัย ที่สำคัญต้องมีราคาที่ไม่สูงมากเหมาะสมที่จะขายในเซเว่นฯ เนื่องจากลูกค้าที่เข้าร้านไม่ได้จ่ายเงินต่อชิ้นแพงมาก โดยยอดบิลเฉลี่ยต่อคนอยู่ทื่ 60-80 บาท นี่จึงทำให้เซเว่นฯต้องคัดสรรสินค้าที่ดีและมีความเฉพาะเจาะจง เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทุกกลุ่ม”

    เมื่อนำเสนอแล้ว ขั้นต่อมาต้องผ่านการชิมหรือผ่านการพิจารณาด้านต่างๆ เช่น เรื่องความสวยงามของแพคเกจจิ้งและขนาด เพราะหากใหญ่ไปก็จะไม่สามารถขายได้ในเซเว่นฯ “คนเข้าเซเว่นส่วนมากไม่ซื้อของที่เป็นไซส์ใหญ่ๆ” ถัดมาคือการทดลองนำไปวิเคราะห์ถึงความสะอาดว่ามีสารตกค้างหรือใส่สารกันบูดหรือไม่? เมื่อมั่นใจว่าขายได้ จากนั้นเซเว่นฯก็จะส่งคนไปตรวจดูโรงงานถึงความน่าเชื่อถือ ความสะอาด ตรงตามหลัก อย. และถูกกฎกระทรวงสาธารณะสุข ซึ่งต้องใช้เวลาคัดกรองหลายเดือนและในบางรายก็เป็นปี เพราะสินค้าอย่างประเภทอาหารก็ต้องมีทีมพิจารณาหลายทีม เช่น ทีมพิจารณาสี, กลิ่น, รส, ความสวยงาม ฯลฯ

     หลายคนอาจมองว่าการจะนำสินค้าเข้าเซเว่นฯเป็นเรื่องยาก ซึ่งก็ยากจริงๆเพราะกว่าที่เซเว่นฯจะมาถึงจุดนี้ได้ เราต้องผ่านการคัดสรรสินค้าคุณภาพและความอร่อยมาอย่างมากมาย ฉะนั้นเซเว่นฯจึงต้องการสินค้าที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค แต่หากสินค้าของ SMEs สามารถตอบสนองความต้องการของเซเว่นฯดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้ การนำเข้าสินค้าก็ไม่ไช่เรื่องยากอะไรเลย

     ด้านสินค้า SMEs ที่ขายดีในเซเว่นฯ ได้แก่ กล้วยหอมสด ที่ขายได้กว่าวันละ 200,000 ลูก, น้ำมะพร้าว, มะม่วงเกษตรแปรรูปแบบต่างๆ, มะขามแปรรูป, กล้วยแปรรูปและทุเรียนทอด นอกจากสินค้าเกษตรแปรรูปที่ขายดีแล้วยังมีขนมปังและแซนวิชที่ขายดีมากๆ โดยเฉพาะแซนวิชแฮมชีสที่ขายได้ถึง 500,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งก็มี SMEs จำนวนไม่น้อยที่เป็นธุรกิจไซส์ S จากการเริ่มต้นขายในเซเว่น แล้วต่อมาก็เติบโตจนกลายมาเป็น SMEs ไซส์ M และ L

     สุดท้ายอยากให้ SMEs หมั่นพัฒนาตนเองเพื่อก้าวให้ทันโลก เพราะการทำธุรกิจยุคปัจจุบันต้องทันกระแสสังคมและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าเป็นหลัก ต่างจากอดีตที่ผู้ประกอบการต้องผลิตในสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ แต่ปัจจุบัน SMEs ต้องเปลี่ยนมาผลิตในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ พร้อมกับการบริหารที่ทันสมัยและรู้จักใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสาน สำคัญที่สุดคือต้องไม่ท้อถอยและอดทนรอความสำเร็จให้ได้

     สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่อยากจะนำสินค้าเข้าไปขายในเซเว่น ก็สามารถติดต่อนำเสนอสินค้าเข้าเซเว่นฯ ได้ที่เบอร์ 02- 677-9000 ยังไงก็อยากให้ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเเติมดูนะคะ 

ขอขอบคุณที่มาจาก : smartsme.co.th